นับตั้งแต่เก็บกระเป่าย้ายจากถ้ำ "เสือเหลือง" มาล่าความยิ่งใหญ่ใน "โรงละครแห่งความฝัน" ในฐานะนักเตะญี่ปุ่นคนแรกในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จากการชักนำของบรมกุนซือในตำนานอย่าง "ป๋า เฟอร์กี้" นักเตะเลือดซามูไรอย่าง ชินจิ คากาาวะ ก็ไม่เคยบ่นท้อเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ จะพูดถึงควาามมุ่งมั่น ความต้องการพิสูจน์ตัวเอง อยากเป็นส่วนหนึ่งในแผนการทำทีมของกุนซือทุกคนที่มาเป็น "คอนดดัคเตอร์" บนเวที "เธียร์เตอร์ ออฟดรีม" ทุกคนด้วยความมุมานะสไตล์ลูกพระอาทิตย์ให้เห็นอยู่เสมอ
ภาพเจ้าตัวต้องเป็นแค่อะไหล่ข้างสนามเป็นอะไรที่ชินตาสำหรับแฟนผี
ปีแรกของเขาเป็นช่วงที่ "ปีศาจแดง" อยู่ภายใต้การบัญชาของบรมกุนซือ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อยู่ คากาวะ ก็เริ่มสอดแทรกขขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ได้ ถ้าไม่บาดเจ็บก็มักจะมีชื่ออยู่ในทีม และได้โอกาสลงสนามเสมอ แถมทำผลงานได้ดีไม่หยอก แต่จู่ๆ ความเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันก็เกิดขึ้นเมื่อ เดวิด มอยส์ เข้ามา และไม่เคยให้โอกาส ชินจิ แบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย แม้จะมีบางนัดที่ทำผลงานได้ดี แต่เกมต่อมาก็โดนดรอปอีก จนเจ้าตัวไปแทบไม่เป็น ถัดมาในปีที่ 3 การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอีกเมื่อ หลุยส์ ฟาน กัล เข้ามาคุมทีม และด้วยฟอร์มที่ดรอปมาต่อเนื่องจากซีซั่นก่อน และบรรดานนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ตำแหน่งเดียวกับเจ้าตัวที่ถูกดึงเข้ามาสู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ยิ่งทำให้เขาไม่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในทีม และสุดท้ายก็จำเป็นต้องเก็บกระเป๋ากลับทีมเก่าในที่สุด
คากาวะ ได้รับการต้อนรับจากแฟนดอร์ทมุนด์หลังโยกกลับมาค้าแข้งกลับ "เสือเหลือง" อีกครั้ง
คำว่า ทาไดมะ เราจะได้ยินกันบ่อย ๆ ในการ์ตูน หรือภาพยนนต์จากญี่ปุ่น ตอนที่ตัวละครกลับมาบ้าน จะพูดว่า "กลับมาแล้วครับ" เหมมือนที่โนบิตะพูดประจำตอนกลับมาจากโรงเรียน เป็นวัฒนธรรมของคนแดนอาทิตย์อุทัยเขาที่จะพูดทุกครั้งตอนกลลับมาบ้าน ก็คงอารมณ์เดียวกับ คากาวะ ตอนกลับไปยังถิ่น ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ที่คุ้นเคยอีกครั้ง
การกลับไปยังที่ที่เขาเรียกว่า "ครอบครัว" อีกครั้ง เจ้าชายลูกพระอาทิตย์อุทัยคนนี้ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากแฟนบอลของทีม และเพื่อนร่วมทีม ตลอดจนทีมมซฟ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ปั้นเขาให้กลายจากเด็กหนุ่มร่างเล็กจากเอเชีย ให้กลายเป็นเพลย์เมกเกอร์ชื่อกระฉ่อนยุโรปในเวลาเพียง 2 ปี ความอบอุ่นเหมือนการได้กลับไปพักพิงสถานที่คุ้นเคยของตนอีกครั้ง ก็ถือเป็นการเริ่มต้นก้าวใหม่ที่ไม่เลวนัก
เหมือน ดอร์ทมุนด์ เขียนบทไว้เพื่อรอ คากาวะ ตอนที่เขามาร่ววมทีม เป็นช่วงท้ายของตลาดนนักเตะ ซึ่งตอนที่โดนคั่นด้วยเกมทีมชาติพอดี มาร์ดก รอยส์ ซูเปอร์สตาร์เบอร์ 1 ของทีม โดนฟีฟ่า ไวรัส เล่นงานจากการไปรับใช้ทีมชาติ ทำให้เกมแรกที่ฟุตบอลลลีกกลับมาเปิดทำการ คล็อปป์จำเป็นต้องส่งตัวเขาที่เพิ่งมาอยู่และยังแทบไม่ได้ร่วมซ้อมกับทีมลงไป แต่ทันทีที่ได้วิ่งบนพื้อนหญ้าของสนามที่ชื่อเดิมคือ เวสต์ฟาเล่นสตาดิโอน แห่งนี้ เหมือนสองปีที่เขาย้ายไปยังถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่เคยเกิดขึ้น จากมิดฟิลด์ที่ทำประตูไม่ได้เลยในซีซั่นที่แล้ว กลับทำประตูได้ตั้งแต่เกมแรกที่กลับมาลงใน บุนเดสลีกา แถมมีส่วนร่วมในการทำประตูของเพื่อน ๆ อีกด้วย
คากาวะกลับมาก็ซัดประตูได้ในเกมเปิดตัวทีนที
ที่ถ้ำ "เสือเหลือง" แห่งนี้ยินยอมให้เขาสวมบท "แม่ทัพ" เป็นผู้บัญชาการ และปั้นเกมรุก ทุกคนพร้อมจ่ายบอล และรับบอลจากเขา ทำให้ได้แสดงความสามารถ วิสัยทัศน์ การคุมมเกม และทักษะอย่างเต็มที่ รวมถึงสไตล์บอลเยอรมัน ที่ไม่ได้เข้าประทะหนัก เข้าประทะเร็วแบบบอลอังกฤษ ยิ่งเอื้อให้ คากาวะ แสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่
คนญี่ปุ่นก็คล้าย ๆ คนไทยอย่างหนึ่ง เวลาที่ในบ้านออกไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง ออกไปก่อร่างสร้างตัว พ่อแม่มักจะบอกเสมอว่าถ้าไม่ไหว ถ้ามีปัญหา ก็กลับมาบ้านเรานะลูก บ้านยังคงเป็นที่พักพิงให้เราได้เสมอ ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องร้ายอะไร เจอคนแย่ๆ หรืออุปสรรคมากแค่ไหน การได้กลับมาเจอบรรยากาศเดิม ๆ นอนบนเตียงตัวเดิม มันทำให้ภูเขาที่สสุมอยู่บนอกถูกยกออกไปหมดสิ้น ชินจิ กลับมาบ้านแล้ว หวังว่าอนาคตข้างหน้าที่มุ่งงสู่การเป็นมิดฟิลด์ระดับโลกจะยังทอดยาวให้เขาได้ก้าวเดินไปอยู่ ขอให้เก่ง จน หลุยส์ ฟาน กัล เสียดาย ที่ปล่อยตัวออกไปเลย
ที่มา Smmonline.net




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น